Alpha Male เรียนรู้ที่จะเป็นอัลฟา เมล ผู้ชายที่คนรอบข้างพึงปรารถนา

22 เม.ย.

อย่าเพิ่งทำหน้าสงสัยว่า อัลฟา เมล (Alpha Male) นั้นคืออะไร แน่นอน มันมีคำอธิบายอยู่ในนี้แล้ว ทว่าเรายังแนะวิธีที่คุณสามารถปรับปรุงตัวได้ง่ายๆ สู่การเป็นอัลฟา เมล ให้คุณลองทำดู โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ไว้แล้วเรียบร้อย และนี่คือบางข้อที่คุณควรรู้ไว้

Alpha Male: ความแตกต่างของคนที่เป็นผู้นำ … กับผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำ

Alpha Male เป็นคำแสลงใช้เรียกบุคคลผู้มีภาวะผู้นำและได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างว่าคือแบบอย่างของการเป็นผู้ชายที่น่าสนใจ มีความสามารถชักจูงให้ผู้อื่นคล้อยตาม ใส่ใจและไม่หยุดที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ทว่ามีไม่น้อยที่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเป็น Alpha Male แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ แล้วอะไรคือความแตกต่าง? ลองดูคุณสมบัติคร่าวๆ จากตารางข้างล่างนี้

Alpha Male
– ไม่ต้องการทำตัวเด่น ไม่มองหาสปอตไลท์ แต่ความน่าสนใจของเขามาจากการทำงานหนักและใส่ใจรายละเอียด
– พร้อมอธิบาย พร้อมสอน ไม่หักหน้าใครแม้ลูกน้องที่ทำพลาด พยายามสร้างกฏเกณฑ์ที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายให้มากที่สุด
– ฟัง
– เรียนรู้จากความผิดพลาดและเปลี่ยนมันให้ได้
– มีอารมณ์ขันและรู้จักกาละ จังหวะในการใช้มัน

คนที่คิดว่าอย่างนั้น
– มักทำตัวเป็นจุดสนใจ อาจด้วยการแต่งตัวจนมากเกินไป กิริยาท่าทาง การใช้เสียงดัง มองหาข้อด้อยของคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูเด่นหรือชิงความได้เปรียบ แต่เรื่องงาน เราไม่แน่ใจว่าเขาเป็นตัวจริงไหม
– หากลูกน้องทำพลาด อย่างดีก็ว่า อย่างมากคาดโทษ สิ่งเดียวที่คุณจะได้จากหัวหน้าแบบนี้คือ ความเจ็บช้ำน้ำใจ และข้อกังขาที่คุณไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าคุณผิดอะไรนักหนา
– พูด (มาก)
– ทำในสิ่งตรงข้ามกัน
– Slapped Joke, Dirty Joke และการทับถมคนอื่น เป็นมุกที่เขาถนัด


ศาสตร์แห่งการต่อรอง เรื่องที่ Alpha Male ไม่ควรมองข้าม

ในโลกของ Alpha Male ศาสตร์แห่งการต่อรองถูกรวมไว้เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งของความสำเร็จ เคล็ดลับของการต่อรองให้ได้ผลนั้นว่ากันตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการเลือกนั่งให้ถูกตำแหน่ง ไปจนถึงมุมของแสงตกกระทบบนใบหน้าคุณยามที่คุณพูด

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การเลือกที่นั่งบ่งบอกถึงลำดับขั้นความสำคัญอย่างชัดเจน และมันใช้ได้ผลสำหรับทำให้คนอื่นยำเกรงในการเจรจา

– เลือกนั่งให้ถูกตำแหน่ง คนญี่ปุ่นผู้ที่เป็นประธานจะนั่งกลางโต๊ะและลดหลั่นความสำคัญไปตามเก้าอี้ทางด้านซ้ายและขวา ในตะวันตก อาจไม่เคร่งขนาดนั้น แต่ผู้ที่สำคัญที่สุด มักนั่งในตำแหน่งที่สามารถเห็นทุกคนได้ทั่วถึง และสามารถควบคุมทุกคนได้จากสายตา นั่นเป็นเคล็ดลับของการสื่อสารอย่างหนึ่ง หากคุณไม่ใช่ประธานบริษัทและต้องเข้าไปเจรจาต่อรอง จงปรับตำแหน่งเก้าอี้ให้สูงเข้าไว้ อย่านั่งในทิศทางย้อนแสง พูดจาด้วยเสียงทุ้มและเป็นจังหวะ

– อย่าหลงประเด็น อย่าลืมว่าคุณมาเจรจาธุณกิจด้วยเป้าหมายอะไร พยายามเข้าสู่ประเด็น พูดตรงไปตรงมา ด้วยท่าทีที่ไม่คุกคามแต่ชัดเจน

– คุณควรพูด 10 แม้ว่าคุณอยากได้แค่ 4 เป็นหลักการของการต่อรองแบบง่ายๆ ที่แม่ค้าชายแดนแม่สายก็เข้าใจ

– อย่าแสดงอารมณ์ให้มากนัก นักเจรจาที่เก่งก็เหมือนเซียนพนัน พวกเขาสามารถอ่านคุณจากสีหน้าได้ง่ายมาก การสงวนท่าที การพูดด้วยน้ำเสียงสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณจดจ่ออยู่กับประเด็น

The Manner: การวางตัวและการเข้าสังคม

บินหลา สันกาลาคีรี นักเขียนซีไรต์ เคยบอกไว้ว่า โลกทุกวันนี้พูดกันเรื่องความเก่ง ความดี แต่มักหลงลืมความงาม นั่นใช่เลย ความงามในโลกของผู้ชายสมัยนี้คือ คุณต้องเรียนรู้การอยู่อย่างมีรสนิยม รุ่มรวยในการใช้ชีวิต รู้จักขอบเขตความพอดี และไม่ทำให้สุภาพสตรีร้องไห้โดยไม่จำเป็น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแต่งกายและความรู้ในเรื่องการเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะกับงานต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้ไว้บ้าง หัดใส่ใจที่จะดูแลผิวให้มีสุขภาพผิวที่ดีและดูแลทรงผมและหนวดของคุณให้ดูดีอยู่เสมอ ความรู้รอบตัวบางอย่าง เช่น การรู้ว่ากาแฟแต่ละประเภทนั้นเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องพื้นฐานที่คุณควรจะจดจำบ้างได้แล้ว

Alpha Male เรียนรู้ที่จะเป็นอัลฟา เมล ผู้ชายที่คนรอบข้างพึงปรารถนา รูปที่ 4

ภาพจาก nutritionalfacts.net

กฏเหล็กของ Alpha Male ในเดทแรก

– เลือกร้านอาหารดีๆ หน่อย

– นัดกินมื้อกลางวันสำหรับเดทแรกก็ดูเข้าท่า

– ทำเหมือนคุณไปดูหนัง นั่นคือปิดเสียงโทรศัพท์เพื่อเป็นการให้เกียรติเธอ

– สนใจแต่ไม่รุกเร้าเธอจนเกินไป

– อย่าเดทกับสาวที่มีเจ้าของ

– อย่าจูบในเดทแรก

– ของกำนัลสำหรับเดทแรกก็ไม่ควรเช่นกัน

– สำคัญที่สุดคือเป็นตัวของตัวเอง อย่าพยายามมากเกินไป

จำไว้ว่าเรื่องของการเป็นอัลฟา เมล นั้นเป็นคนละเรื่องกับเมโทรเซ็กชวล อาจมีสาวๆ บางกลุ่มที่ชอบหรือไม่ชอบผู้ชายที่มีลุคแบบเมโทรฯ หรืออาจมีผู้ชายบางท่านที่เห็นผู้ชายด้วยกันที่เป็นเมโทรฯแล้วร้องยี้ แต่อัลฟา เมล นั้นเป็นรูปแบบของการวางตัวที่ใครๆ ก็อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ดูเท่ด้วยความเป็นผู้นำ มีเสน่ห์ด้วยการวางตัว และอิ่มเอมด้วยสุขภาพที่แข็งแรง …

ทุกวันนี้ ลองสังเกตคนรอบข้างดู ว่าใครบ้างที่เป็นอัลฟา เมล ในสายตาของคุณ ถ้าส่องกระจกแล้วคุณได้เห็นเพิ่มอีกคนมันก็ไม่เลวนะ

ข้อมูลจาก http://men.mthai.com/content/5549

เงินล้านแรกใช้เวลากี่ปีครับ กว่าจะหาได้

21 เม.ย.

สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ที่เป็นคนชั้นกลาง ไม่ได้ร่ำรวยจากมรดก เงินล้านแรกใช้เวลากี่ปีครับ กว่าจะหาได้

อ่านต่อ

อยากรู้มีงานอะไรตำแหน่งใหนที่เริ่มต้นก็ได้เลยเงินเดือน 40000-50000 บาทเริ่มต้นเลยครับ

18 เม.ย.

มีหรือเปล่าครับในประเทศไทย
อยากรุ้มากๆ ครับ
ใครทราบช่วยบอกหน่อยครับ

แบบว่าจบใหม่ได้ 40000
หรือ เปลี่ยนสายงาน(มีประสปการณทำงานอย่างอื่น) เริ่มต้นงานใหม่ก็ได้ 50000 อะไรแบบนี้

เอาแบบเงินเดือนนะครับ ไม่ใช่งานขายที่ต้องไปขายให้ได้ยอดแล้วถึงจะได้(ขายอาจจะมี)

อ่านต่อ

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อยๆ : ลูกอีสาน

17 เม.ย.

สืบเนื่องจากกระทู้นี้

มีเงินน้อย เป็น vi ไม่ได้ จริงหรือไม่ : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=25999

แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่าแม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกันแต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้

ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป

เงินลงทุนน้อยๆ ตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก

ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงทุนระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ

1. ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2. ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด

ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ

1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน

1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา

1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น

– แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน

– แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง

รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย) เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ

ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆ(อยากรวย) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน

ประเด็นแรกการหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด

ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด

ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5 – 6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า

การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธิ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ

กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออกมีดังนี้ครับ

1. การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง – เป็นแรงบันดาลใจ ที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ

2. ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำได้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง

หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ

3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์

หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

4. เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น

เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที

5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมองเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย

ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป

(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)

6. ถือหุ้นน้อยตัว หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้) และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า

ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน

7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้ เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..

8. Growth always better ถ้าหากหลายท่านจำกันได้ กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่เราค้นหามานาน อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้ คำตอบที่ผมหมายถึงคือหากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้ ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ

…เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้น Growth…

กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงมีแค่นี้ครับเท่าที่คิดออก ถ้าเพื่อนๆมีความเห็นอื่นจะเสริมก็จะเป็นประโยชน์ครับ และที่ต้องขอย้ำคือกลยุทธ์ส่วนใหญ่ คงเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีความรู้การลงทุนในระดับนึงแล้ว และจะไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าถามว่ากลยุทธ์ข้อไหนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคงเป็นข้อแรก ถ้าไม่มีข้อแรก ประเด็นอื่นๆก็จะไม่ตามมา

ผมและเพื่อนท่านอื่นๆอาจจะเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แต่นักลงทุนต้องเดินทางด้วยตัวเองครับ ระหว่างทางอาจจะมีความยากลำบาก มีอุปสรรค มีเพียงทัศนคติที่ถูกต้อง ความตั้งใจ และกำลังใจ จะทำให้เราไปถึงจุดหมายครับ มีบทกวีบทหนึ่ง นำมาฝากเป็นกำลังใจด้วยครับ

เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
อนุรักษ์ บุญแสวง (พี่ลูกอิสาน แห่งเวบ Thaivi.com)

ที่มา: http://www.sarut-homesite.net/2009/10/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4/

“ลำบากก่อน ผ่อนคลายที่หลัง” หรือ “บินก่อน ผ่อนทีหลัง”

16 เม.ย.

ลูกอิสาน wrote:
คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน
เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน
เรื่องอืนค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอืนๆ
(อยากรวย Laughing ) เราควรจะทำให้ได้

ประโยคนี้มันสะดุด หัวใจผมมากๆเมื่อ 3 ปีก่อน

ผมก็คนหนึงเหมือนคนทั่วๆไปในสังคม ชอบสบายวันนี้
มีอะไรผ่อนได้ผ่อน ซื้ออะไรได้ซื้อ อะไรจะเกิดทีหลัง เอาไว้ค่อยคิด
มันทำให้ผมวนเวียนอยู่ใน Rat race ตลอดชีวิตที่ผ่านมา

ผมหันมาเอาจริงเอาจัง กับการตั้งใจจะลำบากก่อน
อดทนฝืนนิสัยมักสบายชอบหรูหราของผม
อยากเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ ที่ได้จากการทำงาน
ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ไม่จำเป็น แล้วก็ท่องอยู่ในใจตลอดว่า

“ซื้อเท่าที่กิน ซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และ ใช้ให้คุ้มค่าที่ซื้อมา”

เท่าที่ผ่านมา นึกย้อนกลับไป มันมากมายหลายสิ่งเหลือเกินที่เรา
“ซื้อมาทิ้ง” และ “ใช้ของที่ซื้อมาไม่คุ้มค่า”

หลังจากได้เข้ามาอ่านบทความของหลายๆท่าน
โดนเฉพาะลูกอิสาน เขียนจากสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้จริง
จากชีวิตจริงของเขา ทำให้ผมรู้ตัวเลยว่า

“ผมละเลยในสิ่งที่ผมควรทำเพื่ออนาคตที่สะบายกว่า”

สบายกว่า หรูหรากว่า สิ่งที่ผม “หรอกตัวเอง” มาตลอด

……………………………………

ผมอยากเป็นคนหนึง ที่ช่วยให้เพื่อนๆ ที่เคยเป็นอย่างผม
แล้วที่พึงเข้ามาเริ่มต้น”ปลูกเงิน” เพื่อ “ความสบายที่ยั่งยืนในอนาคต”
ไม่ใช่สบายจอมปลอมไปวันๆในตอนนี้

อ่านทั้งหมด

วิถีชีวิต วิธีลงทุน แบบ VI : ลูกอีสาน

16 เม.ย.

พี่โจ ได้กรุณาส่งแนวคิดสั้นๆ มาร่วมในการเสวนา

“วิถีชีวิตวีธีลงทุน แบบวีไอ” ซึ่งจัดเมื่อ วันเสาร์ที่ 5 ธ.ค. 2552 ที่ผ่านมา

อ.ไพบูลย์ จึงฝากให้นำมา post ไว้ครับ

อ่านกันดูนะครับ

(โดยพี่เด็กใหม่ไฟแรง : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=40182)

####

วิถีชีวิต วิธีลงทุน แบบ VI

1. นักลงทุนเน้นคุณค่าต้องมีจิตอิสระ อิสระจากอารมณ์และอคติ หมายถึงพิจารณาการลงทุนตามเหตุและผลอย่างแท้จริง ไม่ใช้อารมณ์ และขจัดอคติ ความลำเอียงต่างๆ เช่น ความรักหุ้น ความชอบหุ้น ความเชื่อต่างๆที่ไม่จริง อคติเหล่านี้อยู่กับเราโดยไม่รู้ตัว

ส่งผลเสียต่อการลงทุน ยกตัวอย่างอคติบางอย่างนะครับ

– ซื้อหุ้นเพราะว่าเซียนก็ซื้อ
– ซื้อหุ้นเพราะว่าผู้บริหารสวย หล่อ
– ซื้อหุ้นตามกระแส เฮไหนเฮนั่น มีเพื่อนขาดทุนรู้สึกดีกว่ากำไรแต่ไม่มีเพื่อน
– หลีกเลี่ยงหุ้นบางตัวเพราะเป็นหุ้นบาป เป็นการใช้ความเชื่อมากกว่าการมองเป็นธุรกิจ
– หลีกเลี่ยงหุ้นบางตัวเพราะเราเคยขาดทุนตัวนี้มาก่อน ทำให้เข็ดหยาด ที่จริงการขาดทุนที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยกับการลงทุนในปัจจุบันเลย

เราจะขจัดอคติทางอารมณ์ต่างๆได้ เราต้องมีความคิดที่เป็นอิสระ ไม่ไหลไปตามกระแส นั่นทำให้เราต้องมีความรู้ที่อยู่บนพื้นฐานแบบเหตุและผล เราอาจจะไม่สามารถเป็น VI ที่ดีได้หากเรา…

– กลัวสังคมไม่ยอมรับ
– กลัวตกกระแส
– เชื่อคนอื่นมากกว่าเชื่อเหตุผลที่ถูกต้อง
– เชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง หูเบา
– เห่อหลินปิง

การลงทุน VI เป็นวิธีการครึ่งนึง อีกครึ่งนึงเป็นการควบคุมอารมณ์ให้คิดแบบเหตุและผล ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ยาก ปริญญาเอกหลายๆใบก็ช่วยไม่ได้ คล้ายๆกัน การลดความอ้วน ทุกคนรู้วิธีที่จะลดน้ำหนักกันทุกคน แต่ยังมีคนอ้วนเต็มบ้านเต็มเมือง

การลงทุนแบบ VI เป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย หลักการสมเหตุสมผลที่สุด แต่เวลาทำจริงๆกลับยาก เพราะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องนั่นเอง เวป Thaivi มียูสเซอร์ 23,000 คน แต่มีคนที่แอคทีฟไม่เกิน 1 พันคน นี่คงเป็นเพราะ VI ต้องฝืนธรรมชาติ ต้องฝืนอารมณ์ของคนส่วนใหญ่

ดังนั้นเป็น VI ต้องเป็นคนส่วนน้อยครับ

2. แนวทางการลงทุน กับแนวทางการใช้ชีวิตต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเราลงทุนตามแบบ VI แต่กลับใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า ไม่วางแผน อย่างนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะความคิดกับการปฎิบัติจะขัดแย้งกันตลอดเวลา ดังนั้นเป็น VI ต้องเป็นทั้งชีวิตและจิตใจหรือพูดได้ว่าเป็น VI ต้องเป็นโดยจิตวิญญานเท่านั้น

3. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เสมือนการปลูกต้นไม้ เราได้นั่งพักใต้ร่มเงาต้นไม้ นั่นเพราะเราได้ปลูกมันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราลงทุนวันนี้เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า การลงทุนแบบ VI ไม่มีทางลัด ถ้าอยากรวยเร็วๆให้เล่นหวย ให้เล่น TFEX แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงมหาศาล ต้นทุนส่วนหนึ่งการการลงทุนแบบ VI คือความอดทน อดทนจนกว่าผลของมหัศจรรย์การทบต้นจะส่งผล ในปีแรกๆ เงินลงทุนจะเติบโตไปอย่างช้าๆ เงิบๆ หงอยๆ จนถึงจุดหนึ่งในปีหลังๆ เงินลงทุนจะเติบโตแบบจรวด เงินเพิ่มจนเรานับเงินไม่ทัน ดังนั้นอนาคต(ที่ดี)เริ่มตั้งแต่วันวานครับ

4. ชีวิตตลาดหุ้นกับชีวิตคนก็คล้ายๆกัน ในแง่ที่ว่า เราไม่สามารถประมาทมันได้ วันดีคืนดีหุ้นอาจพุ่งทะลุฟ้า แต่วันร้ายๆหุ้นอาจตกฟลอร์ทั้งตลาด เหมือนชีวิตที่เหตุการณ์ร้ายและดีเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีคำเตือน ดังนั้นไม่ว่าจะชีวิตจริงๆหรือชีวิตการลงทุน

จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท อย่ามองแต่ผลตอบแทนจนลืมความเสี่ยง เมื่อรู้ว่าเราอาจจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั่น ลงทุนอะไรที่มีโอกาสหมดตัว ก็อย่าไปลงทุนครับ

วิถีชีวิต วิธีลงทุน แบบ VI
ลูกอีสาน

ที่มา : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=40182

กูรูหุ้นพันล้าน

16 เม.ย.

เงินนี่มันแปลก เงิน 1 ล้านบาท คุณจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท ช่วงนี้จะยากมาก แต่จาก 2 เพิ่มเป็น 4 เริ่มง่าย จาก 4 เพิ่มเป็น 8 ยิ่งง่ายกว่า…เรื่องนี้เรื่องจริง” การเดินทาง…ย่อมมีปลายทางฉันใด ชีวิตก็ย่อมมีจุดหมายฉันนั้น ตลอด 20 ปีของการเดินทาง บนเส้นทางที่เรียกว่า “ตลาดหลักทรัพย์” ที่เต็มไปด้วย “หลุมพราง” ของโอกาส …กว่าจะก้าวมาเป็น “เซียนหุ้นพันล้าน” ชีวิตที่มาไกลเกินฝัน ระหว่างการเดินทางต้องผ่านพบอุปสรรคมานานัปการ “วิชัย วชิรพงศ์” หรือที่รู้จักกันในวงการว่า “เสี่ยยักษ์” รู้ดีว่าระยะทางพิสูจน์ม้า…กาลเวลาพิสูจน์ฝีมือ (คน) ก็จริง แต่ “ม้าแก่” ก็ใช่ว่าจะไม่มีวันโรยรา แม้จะเชื่อว่าอยู่ในสนามรบนี้ต้องอาศัย “ฝีมือ” 70% “โชคชะตา” อีก 30% แต่ใครบ้างจะรู้ว่า ฤดูใบไม้ผลิแห่งโชคชะตา จะผลิบานได้ตลอดไป

จากประสบการณ์..ในตลาดหุ้น 20 ปี เซียนหุ้นพันล้านแนะนำว่า หุ้นที่เล่นแล้วได้กำไรมากกว่าขาดทุน จะเป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในกระแสนิยมของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ …เราต้องพยายามอ่านหลักจิตวิทยาของตลาดว่า คนอื่นเขาคิดอย่างไร..? กับหุ้นตัวที่เราจะเล่น อย่าพยายาม “คิดเอง-เออเอง” คนเดียว “สมมติว่าขณะนั้น SET กำลัง “นิยม” หุ้นกลุ่มไหน เราก็ต้องจับตามองหุ้นกลุ่มนั้น เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน” วิชัยบอกว่า การเล่นหุ้นฝืนทิศทางตลาด..เล่นแล้วมันเหนื่อย !!! เหมือนการขึ้นรถผิดคัน ทำไม! รถคันนี้มันถึงไม่ออกจากท่ารถสักที เรารอแล้วรออีก คันนี้ก็ไป คันนั้นก็ไปก่อน

แม้ว่าวิธีคิดของคนเรา “เปลี่ยนยาก” ก็จริง แต่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้ สำคัญที่สุดเราต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเราเอง..อย่าโทษใคร? เสี่ยยักษ์ย้ำว่า ประสบการณ์ที่ผิดพลาดจะเป็นบทเรียนสอนคุณเอง..ถ้าคุณยอมรับมัน และพร้อมที่จะแก้ไข คุณจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามัวแต่นั่งโทษคนนั้นคนนี้ โทษไอ้นั่น โทษไอ้นี่ คุณจะไม่มีวันพัฒนาตัวเอง… “ผมมีประสบการณ์จริงเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง มีลุงคนหนึ่งเล่นหุ้นอยู่โบรกเกอร์เดียวกับผม ลุงคนนี้มีอายุ 70 ปีแล้ว ในอดีตแกประสบความสำเร็จจากการดำเนินชีวิตอย่างมาก จนมีเงินมีทองหลายสิบล้านบาท …เชื่อมั้ยว่าแกมาเล่นหุ้น เล่นไปเล่นมา เหลือพอร์ตอยู่ 3 ล้านบาท ไปเอาทุนมาเติมอีก ตอนนี้เหลือเงินอยู่ล้านกว่าบาท” “ผมเคยบอกแกว่า อาเจ็ก..เลิกเถอะ! อย่ามาเล่นอีกเลย อยู่บ้านเถอะ แกก็บอกว่า เออ!น่าไม่เป็นไร คือเขามีเงินหลายสิบล้านบาท เล่นไปเล่นมาเหลืออยู่ล้านกว่า แกก็ยังทู่ซี้เล่น นั่นคือแกไม่รู้จักพัฒนาตัวแกเอง ประวัติของลุงคนนี้แกเคยทำธุรกิจประสบความสำเร็จมาก่อน การจะตัดสินใจ Cut Loss ครั้งละ 5 ล้าน 10 ล้าน เขาจะไม่กล้า จะมีความรู้สึกว่าติดไว้ก่อนไม่เป็นไร วิธีคิดแบบนี้แสดงว่าแกไม่เป็นมืออาชีพ แต่แกมานั่งเล่นหุ้นเป็นอาชีพ วิธีการมันผิด” วิชัยบอกว่า หลักการที่ถูกต้อง เราต้องกำหนดจุด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) พอขาดทุนถึงจุดนี้ก็ต้อง Cut Loss ตัดขายทิ้ง

หุ้นเวลาเป็น “ขาลง” (Bearlish Down Trend) เราต้องตัดทิ้ง อย่าถือ และอย่าซื้อถัวเฉลี่ย” วิชัย เปรียบเทียบคนที่ติดหุ้นไว้อย่างเจ็บปวดว่า เปรียบเสมือนคนที่เคยไปกินอาหารป่า ร้านที่เขามีเนื้อตะพาบน้ำขาย “ผมจะอธิบายลักษณะของคนที่ “ติดหุ้น” อย่างเจ็บแสบที่สุดให้ฟัง” สมมติว่าร้านอาหารป่ามีตะพาบน้ำไว้ขายลูกค้าอยู่ตัวหนึ่ง วันนี้ผมไปสั่งตะพาบน้ำผัดเผ็ด 1 จาน ตะพาบน้ำตัวนี้มันใหญ่ผัดทั้งตัวไม่หมด พ่อครัวก็จะเฉือนเอาเนื้อข้างๆ แต่ตะพาบตัวนั้นมันยังไม่ตาย มันก็ทุรนทุราย เอามาผัดให้เรากินจานหนึ่ง สภาพของตะพาบน้ำตัวนั้น มันหงายท้องนอนพะงาบๆ ลืมตาอยู่แต่มันยังไม่ตาย นี่คืออาการของคน “ติดหุ้น” “นี่ผมพยายามจะเล่าให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด” วันที่ 2 ไม่มีคนมากิน ตะพาบก็พะงาบๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนคนติดหุ้นที่รอวันตาย แต่มันไม่ตาย มันทุรนทุราย ชีวิตไม่มีความสุข เครียดไปหมด วันที่ 3 พอมีคนมาสั่งเนื้อตะพาบน้ำผัดเผ็ดอีก 1 จาน พ่อครัวคนเดิมก็เฉือนเนื้อของมันอีกข้างหนึ่ง มันก็ยังไม่ตายอีก แต่คราวนี้มันเจ็บเจียนตาย สภาพของคนติดหุ้นจะเป็นอย่างงั้นจริงๆ “ผมอยากจะให้กำลังใจว่า ตั้งแต่ผมเป็นนักลงทุนรายย่อย จนมาเป็นนักลงทุนรายใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ ผ่านมาหมด หลายๆคนบอกว่าเป็นรายใหญ่ได้เปรียบ จริงๆไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้เปรียบรายใหญ่

…คุณซื้อหุ้น 1 ครั้ง คุณได้หุ้นเต็มพอร์ต คุณขาย 1 ครั้ง คุณขายได้หมดพอร์ต ถ้าเกิดเป็นรายใหญ่ เขาจะซื้อขายกันทีเป็น “ร้อยล้านหุ้น” ผมก็เคยมีหุ้นร้อยกว่าล้านหุ้น แล้วจะขายได้ยังไงหมด อย่างกรณีของหุ้นไออาร์พีซี (IRPC) มี Bid เสนอซื้ออยู่ 3 ช่อง ขายทีเดียว 3 ช่อง ยังไม่หมดเลย เพราะรวมกัน 3 ช่อง มี Bid แค่ 10 กว่าล้านหุ้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนรายย่อยใครว่าเสียเปรียบ…ไม่จริงเลย

เขาบอกว่า การเล่นหุ้นก็เหมือนกัน ทุกคนจะมีจังหวะฟ้าลิขิต…ทุกคนต้องเคยได้รับโอกาสนั้น แต่คุณจะตักตวงมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง วิชัย เปรียบคนเล่นหุ้นเหมือนการเปิดร้าน “โชห่วย” เราต้องหาสินค้าเข้ามาขายทำกำไร เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ได้กำไร…เราต้องอย่าใจร้อน ต้องเลือกสินค้าที่ดีๆ ซื้อเข้าร้านใน Timing (จังหวะ) ที่เหมาะสม “ในตลาดหุ้นเขาพูดกันว่า มันมีอันตราย “ผีดุ” ถ้าช่วงไหนที่โบรกเกอร์ หรือนักวิเคราะห์ออกมาเตือนว่า มันเป็นช่วงอันตราย เราก็อย่าเพิ่งไปซื้อมัน อย่าเล่นแบบ “ทุ่มสุดตัว” คนที่มีฝีมือจะต้องรู้จัก Timing หรือเวลาไปจ่ายตลาด ใครเก่ง-ไม่เก่ง วัดกันตรงนี้” จากประสบการณ์ 20 ปี ในวงการนี้ จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด “ตอนประมาณ ตี 5” หรือ อีก 1 ชั่วโมงฟ้าจะสว่าง…ผีไม่มี ใครซื้อหุ้นได้จังหวะนี้…ดีแน่! คุณได้เลือกของดี ได้ซื้อของสด ราคาไม่แพง ได้เลือกของก่อนคนอื่น รถไม่ติด คุณจะได้เปรียบเรื่อง “ต้นทุน” แต่คนที่จะเข้าใน “จังหวะ” นี้ได้ จะรู้ว่าตอนนี้กี่โมงต้องอาศัยเครื่องมือทาง “เทคนิเคิล” มาช่วยในการคลำหาตำแหน่งเวลาร่วมกับ “ประสบการณ์” ของแต่ละคน

“ถ้าตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขาลง หรือ มีภาวะอึมครึมมาแล้วพักใหญ่ ในขณะที่เครื่องมือทางเทคนิค อาทิเช่น RSI, MACD ยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม เช่น การเกิด Divergence หรือ สัญญาณขัดแย้ง เราต้องเตรียมตัวซื้อหุ้น เพราะฉะนั้น ช่วงตี 5 ถึงตี 5 ครึ่ง…คุณต้องกล้าซื้อ” เซียนหุ้นพันล้าน อธิบายว่า ถ้าเราไปจ่ายตลาดตอน 8 โมงเช้า คนก็เยอะ สินค้าก็ไม่สด หุ้นมันขึ้นไปตั้งนานแล้ว คุณเพิ่งจะมาซื้อตอนคนอื่นเขากำลังจะกลับบ้าน รายใหญ่เขารอ “ออกของ” กันแล้ว สิ่งที่เซียนหุ้นรายนี้ เน้นย้ำก็คือ “จุดซื้อ” คุณอาจจะใช้ “เทคนิเคิล” ช่วย แต่การขึ้นของหุ้นรอบใหญ่ๆ หรือ Major Up Trend (ทุกครั้ง) หลักการวิเคราะห์หุ้น เราต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานมาเลือกหุ้น

“ทุกอย่างมันต้องมาจากพื้นฐานก่อน แต่การดูพื้นฐานอย่างเดียวถ้าไม่ใช้เทคนิเคิลช่วย…เปรียบเสมือนคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน คุณกลัวร้อนคุณก็ไปนั่งรอในรถเมล์คันที่มันสตาร์ทเครื่องเอาไว้แล้ว แต่มันไม่ออกจากท่า (รถ) สักที… “…ที่มันไม่ออกเพราะจังหวะมันผิด มันเร่งเครื่องบรื้อๆแต่ไม่ออก คันข้างๆออกไปแล้วเว้ย! คันเราก็ไม่ไป นั่งรอมีแต่กระเป๋ารถขึ้นมาเขย่าตั๋ว แต่ก็ไม่ออก เราจะคิดทันทีว่า “ต้องลง” ไม่ใช่คันนี้แน่…ขึ้นผิดคัน …พอเราลง เปลี่ยนคันไปขึ้นคันใหม่ คันเดิมของเราดันออก” วิชัย บอกว่า คนเล่นหุ้นทุกคน โดนกรณีอย่างนี้มาหมด เพราะฉะนั้นการหาจังหวะเข้าลงทุน…ต้องใช้เทคนิเคิลมาช่วย

“เวลาเลือกหุ้นให้ใช้พื้นฐาน แต่จังหวะซื้อต้องใช้เทคนิเคิล” เขาเน้นย้ำ ยิ่งตอนขายหุ้นเทคนิเคิลไม่เคยหลอกเลย ถ้าเราถอยหลังย้อนกลับไปได้ เราต้องกลับไปทบทวนตัวเองให้ดีๆ

ชีวิตคนเราจะก้าวหน้าต่อไปได้ วิชัยให้แง่คิดว่า คนเราต้องตั้งเป้าหมายให้สูงๆเข้าไว้ ในระหว่างที่ต้นไม้กำลังโต คุณอย่ารีบไปเด็ดยอดทิ้ง คุณกำไรมา 10-20 ล้านบาท อย่ารีบเอามาใช้จ่าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน “ผมอยากให้คนเล่นหุ้น ไม่ใช่ว่าได้กำไรมาแล้วคุณเอาเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ผมทนใช้รถคันเก่า โดยตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง เราต้องรู้จักอดทนเพื่อรอวันที่ประสบความสำเร็จก่อน” ประสบการณ์ตลอด 20 ปีในตลาดหุ้น..ย้ำสอนกูรูหุ้นท่านนี้ว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นเพียงชั่วขณะใดขณะหนึ่ง เราต้องไม่หลงระเริง เพราะนั่นยังไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง..คุณต้องพิสูจน์เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ต้องทำให้ได้เสียก่อน “…เพราะ “เงิน” จะเติบโตก็เฉพาะกับคนที่รู้จักใช้มัน ในเวลาที่เหมาะสม” เขาเชื่อเช่นนั้น วิชัยเล่าว่า การตัดสินใจหันเหชีวิตมาเอาดีด้านการเล่นหุ้นเป็นอาชีพ ช่วงแรกโดนดูถูกมาก สุดท้ายถึงได้ล้มล้างภาพให้เห็นว่าคนเล่นหุ้น ก็สำเร็จได้ “ภรรยาผมเป็นหลานอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ครอบครัวเขามีหน้ามีตา มีฐานะ คุณพ่อ-คุณแม่ภรรยาก็เป็นหมอ (อยู่โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลเด็ก) เขามีพี่น้อง 4 คน อนาคตดีๆกันทั้งนั้นเลย มีแต่ผมเป็นคนจีนต่างด้าว ไม่มีอะไรเลย ห่วยที่สุด ไม่น่าไว้วางใจที่สุด แล้วไปอาศัยอยู่บ้านเขาอีกต่างหาก”

การลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” ด้วยเงินทุนก้อนใหญ่ “ครั้งเดียว” ซึ่งหมายถึงการรบแบบ “แตกหัก” ในสถานการณ์ที่เชื่อมั่นมากเกินไป เป็นวิธีการลงทุนที่ผิดพลาดได้ง่าย อย่ารบในสงครามที่รู้ว่าเราต้องเป็น “ฝ่ายแพ้” อะไรก็ตามถ้ารู้ว่า “พลาด” ต้องถอยก่อน แสดงว่า..หนึ่ง สติปัญญาเราสู้เขาไม่ได้ สอง..แสดงว่าเราตาถั่ว

“เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ อธิบายว่า ถึงแม้ตัวเองจะมั่นใจมากกับหุ้น ปตท. แต่ใช่ว่าในสถานการณ์ที่เรามั่นใจ จะปลอดภัยเสมอไป “นิสัยผมถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจเต็มร้อย ผมจะระมัดระวังตัว จะเข้าไปลงทุนด้วยเงินก้อนน้อยๆก่อน ยิ่งถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไร จะเล่นเป็นรอบ จะไม่ทุ่มและจะไม่ถือยาว” สูตรที่เสี่ยยักษ์บอกว่าใช้เป็นประจำ ถ้ามั่นใจหุ้นตัวไหนมากๆ ก็ซื้อหุ้นตัวนั้นเก็บเอาไว้ครึ่งหนึ่งก่อน และเมื่อไรที่เห็นปริมาณการซื้อขายเข้ามามากๆ ก็จะรีบซื้อหุ้นอีกครึ่งหนึ่งทันที กลยุทธ์นี้ หมายถึงการ “หยั่งกำลังหุ้น” หรือการ “โยนหินถามทาง” การลงทุนครั้งแรก เราต้องเริ่มจากเงินก้อนเล็กก่อน ถ้าชนะค่อยสู้ต่อ ถ้าแพ้ก็ “เลิก” ถ้าเข้าไปแล้วมีกำไรส่วนหนึ่ง ก็จะเอากองหลังมาสู้เพิ่ม ถ้าพลาดท่าก็จะ Cut Loss ทิ้ง ยังเหลือกองหลังไว้พยุงตัว “ผมคิดอย่างนี้”

ส่วนวิธีการลงทุนที่ใช้กับหุ้นทั่วไป เสี่ยยักษ์อธิบายเพิ่มเติมว่า จะใช้วิธีการหยั่งเชิง (แย็บ) ดูก่อน..ก้อนแรกที่ส่งเข้าไปลุย อาจจะเข้าไปก่อน 20-30% ของเงินที่เราเตรียมเอาไว้ ถ้า “เจ็บ” ก็ถอยออกมาตั้งหลัก และสำหรับการลงทุนใหญ่ๆ จะเลือกหุ้นเล่น แค่ครั้งละ 1 ตัว เท่านั้น หรือแม้แต่หุ้น ปตท.ที่ตั้งใจจะเล่น “รอบใหญ่” แต่เสี่ยยักษ์จะมีการ “แบ่งหุ้น” ออกมาเล่นรอบด้วยเหมือนกัน “ผมก็เหมือนนักลงทุนทั่วไป คือ เอาส่วนหนึ่งของหุ้น ปตท.จากก้อนใหญ่ แบ่งออกมาเล่นรอบ ประมาณ 1-2 แสนหุ้น ไหนๆ ราคามันมาแล้ว เราก็เล่นสักหน่อย” “การเล่นรอบ” ด้วยการแบ่งหุ้นจำนวนน้อยออกมาเล่น มีข้อดีตรงที่ว่า ช่วยให้เราต้อง “เกาะติด” หุ้นตัวนั้น ไม่ให้ห่างสายตา “ทำให้ผมต้องมองมันตลอดเวลา..คิดมันทุกเวลา การที่เราเอา 1-2 แสนหุ้น แบ่งมาเทรด (ซื้อๆขายๆ) บอกได้เลยว่ามันยาก เพราะเวลาเราขาย เราก็อยากให้มันลงมาก่อน พอมันลง ก็อยากให้ลงไปอีก พอราคาขึ้นมาใกล้ๆทุนเดิม ตอนนั้นยังไม่ซื้อ พฤติกรรมของนักเล่นหุ้นจะมาซื้อคืนตอนเฉี่ยวๆ ทุน บางทีขายเสร็จ ต้องไปซื้อแพงเป็นประจำ” บทเรียนตรงนี้ สุดท้ายคนที่เล่นหุ้นแล้วได้กำไรเยอะๆ เล่นแล้วรวยต้อง “ถือยาว” ในระยะเดือน (ไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ ด้วยหวังกำไรเพียงเล็กน้อย) และวิธีการซื้อจะต้องใช้วิธี “หยั่งกำลังหุ้น” ลงทุนด้วยเงินจำนวนที่ไม่มากก่อน “วิธีการซื้อหุ้นที่ดี เราอย่าเพิ่งทุ่มก้อนใหญ่ ค่อยๆ หย่อนลงไป ลงแล้วชนะ (ทัพหลวง) ค่อยตามลงไป” เสี่ยยักษ์ย้ำว่ากลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลดีมาตลอด

ถ้าขาดทุนจะทำอย่างไร ..เสี่ยยักษ์บอกว่า โดยปกติการลงทุนของตนเอง จะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องลงทุนครั้งละเท่าไร หรือแบ่งเงินยังไง การลงทุนที่ดีจะต้อง “ยืดหยุ่น” ตามสถานการณ์ “แต่ถ้าเริ่มต้นเข้าไปปั๊บ!..ผมโดนเลย (หุ้นตกฮวบ) ก็เลิก” เซียนหุ้นพันล้านเน้นย้ำว่า อย่ารบในสงครามที่รู้ว่าเราต้องเป็น “ฝ่ายแพ้” อะไรก็ตามถ้ารู้ว่า “พลาด” ต้องถอยก่อน แสดงว่า..หนึ่ง สติปัญญาเราสู้เขาไม่ได้ สอง..แสดงว่าเราตาถั่ว มองอะไรไม่เห็น หรือมองไม่ชัด เสี่ยยักษ์บอกว่า ในภาวะที่เราอ่านตลาด (ทิศทาง SET) ไม่ออก หลักการสำคัญต้องดูเรื่อง “สภาพคล่อง” ในกระเป๋าของเราเป็นอันดับแรก “บางช่วงผมอาจจะมีหุ้นอยู่ในพอร์ต 3-4 ตัว ถ้าสภาพคล่องเริ่มต่ำลง ถึงจุดที่เราตั้งไว้ผมจะล้างพอร์ต เหมาขายหุ้นทิ้งทั้งหมด จะไม่มีแบบว่าเก็บตัวที่ขาดทุนเอาไว้ ขายออกเฉพาะตัวที่มีกำไร ภาวะนั้น..ผมจะถือเงินสดอย่างเดียว”

นั่นหมายความว่า..เมื่อไรก็ตามที่เราประเมินไม่ออกว่าทางข้างหน้าจะดีหรือร้าย เราต้องออกมาตั้งหลักใหม่..”อย่าฝืนสู้” เพราะเราจะตาถั่ว เพราะบางช่วงของคนเรา คุณชนะไม่ได้ทุกครั้ง ถ้าเราพลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด ต้องถอยก่อน แสดงว่าช่วงนั้นเราสู้เขาไม่ได้จริงๆ ต้องออกมาดูอยู่วงนอก ส่วนการ “ถอย” ในจังหวะที่เราอยู่ในสถานการณ์ “เพลี่ยงพล้ำ” เขาบอกว่า ประโยชน์ของมันก็คือ เพื่อทำให้ตัวเรา “สด” ก่อนกลับเข้าไปสู้ใหม่ ไม่ใช่ว่าจะต้องสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง วิธีการเล่นหุ้นอย่างงั้น “มันผิด” “มีคนมาถามผมว่าติดหุ้นอยู่ตั้งหลายตัวจะทำอย่างไรดี ผมแนะนำเขาไปว่า หุ้นตัวไหนที่ไม่มีอนาคต คุณต้องตัดทิ้งไปให้หมด แล้วคุณต้องเหลือ “เงินสด” เอาไว้สู้ต่อ ช่วงไหนที่ตลาดบวก (Bullish Trend) เราค่อยสู้ใหม่ อัดเข้าไปให้เต็มพอร์ตเลย เป็นทางเดียวที่คุณมีโอกาสจะได้ทุนคืน”

ทั้งนี้ ในยุทธศาสตร์การรบ “การติดหุ้น” เท่ากับเป็นการสลายกำลัง คุณติดหุ้น 60% เหลือเงิน 40% ถึงตลาดดีก็ไม่มีเงินมาสู้ใหม่..เมื่อไรถึงจะได้ทุนคืน มันเป็นไปได้ยาก คนที่พอร์ตจะขยายใหญ่ได้..”ช่วงที่หุ้นขึ้น คุณต้องมีเงินซื้อหุ้น” “เพราะฉะนั้น ถ้าช่วงไหนที่ตลาดไม่ดี หลักการคือคุณต้องถือเงินสดไว้ให้มากที่สุด” เสี่ยยักษ์ กล่าวสรุปปิดท้าย

นอกจากนี้ “เสี่ยยักษ์” ยังมีเคล็ดไม่ลับ ที่อยากฝากแฟนๆ “ถนนนักลงทุน” อีก 5 ข้อ “คำพูดที่ผมอยากจะฝากไว้ จำเอาไว้เลยนะ…”

1. อย่าตามหลังมวลชน
2. จุดที่มั่นใจที่สุด คือ จุดที่อันตรายที่สุด
3. จุดที่อันตรายที่สุด คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ประมาณ “ตี 5” ถึง “ตี 5 ครึ่ง” (ก่อนฟ้าสาง)
4. อย่าคิดคนเดียว อย่าตอบคำถามคนเดียว อย่าเล่นหุ้นคนเดียว และ
5. คนเล่นหุ้นให้ชนะ ต้องเลิกนิสัย “ถามเอง-ตอบเอง-เออเอง” สุดท้าย “เจ๊งลูกเดียว”

  อ่านทั้งหมด

เคล็ดลับสร้างความร่ำรวย ทั้งความสุข และ เงินทอง

16 เม.ย.

ที่ผมใช้คำว่า เถ้าแก่ แน่นอนว่าท่านเหล่านี้ย่อมมีสาย เลือดมังกรอยู่ในตัว ท่านเหล่านี้บางคนก็พูดไทยยังไม่ชัดนักแต่ถ้าพูดจีนละก็ฟังไม่ทันเลย ส่วนบางคนก็เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายอพยพกันมานานแล้วเรียก ว่าพูดไทยสบายมากแต่พูดจีนไม่ได้เลย (ตัวผมเองก็พออนุมานในกลุ่มหลังนี้ได้ เพราะรุ่นทวดก็มาจากเมืองจีนเช่นกัน) จากการได้พบปะกับท่านเถ้าแก่ใหญ่หลายๆ ท่าน เลยทราบว่าที่ท่านมีฐานะมั่นคงในทุกวันนี้ไม่ใช่ได้มาตั้งแต่แรก เรียกว่าเริ่มจากศูนย์ หรือต่ำกว่าศูนย์ก็มี แต่ทุกคนมีหลายอย่างที่เหมือนกันคือ ทุกคนเป็นนักสู้ เรียกว่า สู้สุดใจขาดดิ้น การสู้นี้คือสู้เพื่องานของเขา โดยจะทำงานให้ดีที่สุด หนักที่สุด แต่กลับใช้เงินน้อยที่สุด จนผมยังเคยคิดว่าท่านเหล่านี้หาเงินเก่งมากๆ แต่กลับใช้เงิีนไม่เป็น แต่ผิดคาดท่านใช้เงินเป็นแต่ผมสิกลับใช้เงินไม่เป็นจนต้องตกเป็นทาสของเงิน จนทุกวันนี้ก็ยังใช้เงินไม่เป็น และยังเป็นทาสของเงินอยู่ แต่โชคดีที่เงินได้มาคล่องหน่อยเลยไม่เดือดร้อน ซึ่งทุกวันนี้ผมทำงานเพื่อความสนุก บันเทิงใจ แล้วได้เงิน แต่ผมจะไม่ทำงานเพื่อแลกเงินอีกแล้ว ส่วนผมทำยังงัยท่านติดตามต่อไปก็คงได้เห็น(อ่าน)เอง

จากการได้พูดคุยกับบรรดาเถ้าแก่ใหญ่ หลายๆ ท่าน ได้ข้อคิดมามากมาย ดังนั้นก็จะทยอยอัพเดทให้ท่านได้ศึกษาเผื่อพอจะเห็นเป็นแนวทางในการดำเนิน ชีวิตบ้าง ส่วนท่านจะเห็นดีด้วยหรือไม่ก็ลองพิจารณาเองก็แล้วกันครับ

เรื่องโดย ศักดิ์เพ็ชรเรืองแพ

อ่านต่อ คลิกที่นี่

การจะมีเงินล้าน ยากไหม

16 เม.ย.

ถามเล่นๆ แก้ร้อนวันสงกรานต์

มีคนเคยบอกว่า คนจะมีเงินล้านได้ ไม่ธรรมดา
ผู้ชายนี่ว่ายากแล้ว
ผู้หญิงยิ่งยากกว่า

อันนี้หมายถึง กรณีโสด หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
เพราะถ้ามีสามี หรือภรรยา แล้วหาได้ ก็ถือว่า ช่วยกันหา

แต่คนที่ตัวคนเดียว แล้วทำได้….มีน้อยกว่าน้อย
แถมถ้าทำได้ มากกว่าหนึ่งล้าน (สองล้าน อัพ) ก่อนอายุ 30..โดยไม่ได้มีกิจการของพ่อแม่มาก่อน

ยิ่งยากมาก

อยากถามว่า จริงไหม??????

และสงสัยว่า
1 ปัจจุบัน ทุกท่านอายุเท่าไหร่ มีเงินเก็บประมาณไหน
2 และมีเงินล้านก้อนแรก เท่าไหร่ ก่อนอายุสามสิบหรือไม่ และได้มาจากทางใด
2.1 จากน้ำพักน้ำแรงตัวเองจากการทำงาน(เป็นลูกจ้าง)ล้วนๆหรือไม่
2.2 หรือจากการลงทุนทางอื่น เช่น เล่นหุ้น กองทุน ลงทุนทำธุรกิจร่วมกับเพื่อน

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบ

เพิ่มเติม
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11961771/B11961771.html
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I11961397/I11961397.html